นวนิยายไซไฟแฟนตาซี เป็นนิยายอีกหนึ่งแขนงที่มีแฟนหนังสือติดตามกันเยอะมาก หลายคนชื่นชอบจินตนานการอันสุดล้ำไฮเทคของผู้เขียน ที่อาจจะกลายเป็นจริงได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า วันนี้เราขอนำเสนออีกหนึ่งไซไฟเรื่องเยี่ยมที่นอกจากจินตนากรจะล้ำสมัยแล้ว ยังสอดแทรก ดราม่า น้ำตาซึม ได้แบบไม่รู้ตัวอีกด้วย
Flower for Algernon เรื่องย่อ
เรื่องราวไซไฟคราวนี้เกี่ยวกับสมอง การทดลอง ผ่านสมองกลั่นกรองของ เดเนียล คีย์ส เค้าเล่าเรื่องราวผ่านของหนุ่ยวัยกลางคนคนหนึ่งชื่อว่า ชาร์ลี กอร์ดอน เค้าดูเหมือนชายหนุ่มทั่วไปแต่ไม่เหมือนตรงที่เค้ามีไอคิวเพียงแค่ 68 เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐานมาก นั่นทำให้เค้าดูโง่ ทึ่ม จนกลายเป็นตัวตลกของคนทั่วไป จากนั้นเค้าได้รับการคัดเลือกเข้าโครงการพัฒนาสมองด้วยการผ่าตัด ผลปรากฏว่าสมองของเค้าถูกพัฒนาให้ดีขึ้นถึง 3 เท่า จนทำให้เค้ากลายเป็นอัจฉริยะไปในที่สุด แน่นอนว่าเค้าก็ต้องมีสิ่งที่แลกไปด้วยเหมือนกันมันคืออะไร อ่านตอนจบเอง
กลวิธีการเขียนไม่เหมือนใคร
เพื่อให้เราเข้าใจความเป็น ชาร์ลี ได้ดีมากยิ่งขึ้น ผู้เขียนได้วางกลวิธีการเขียนได้อย่างแยบยลมาก ข้อแรกเค้าเลือกการเขียนด้วยการบันทึกไดอารี่ของ ชาร์ลี แทนการบรรยายทั่วไป ทำให้เราเห็นพัฒนาการของ ชาร์ลี ไปตามลำดับขั้นเวลาอย่างชัดเจน ข้อสองหากอ่านในเวอร์ชั่นแปลไทยช่วงแรกเราอาจจะไม่เข้าใจ เนื่องจากเค้าต้องการให้เห็นว่า ชาร์ลี มีปัญหาด้านสติปัญญามากจนเขียนหนังสือไม่ถูก แล้วพัฒนาการทางด้านภาษาของเค้าก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับเนื่องจากผ่านการผ่าตัดพัฒนาสมองจนไอคิวดีขึ้น อีกทั้งเค้าจะบรรยายความรู้สึกได้ลึกยิ่งขึ้น ทำให้เราเห็นมิติการพัฒนาตัวของ ชาร์ลี ได้แบบรู้ได้ด้วยตัวเอง ส่วนเวอร์ชั่นต้นฉบับตอนแรกจะใช้คำง่ายหน่อยเหมือนเด็กประถมจากนั้นก็พัฒนาคำเรื่อยมา
แนวคิดจากเรื่อง
นอกจากความคิดเรื่องการผ่าตัดสมองเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของมนุษย์แล้ว แนวคิดของเรื่องเกี่ยวกับการเหยียดผู้ที่มีปัญญาต่ำกว่า ก็เป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่น่าสนใจ อย่างฉากที่ ชาร์ลี ที่เริ่มเป็นอัจฉริยะจนสามารถจดจำอดีตบางอย่างได้ วันหนึ่งเค้าร่วมหัวเราะอดีตอันน่าขื่นขมของตัวเองร่วมไปกับคนอื่น ฉากนี้เป็นตลกร้ายที่ผู้เขียนจงใจทำให้ ชาร์ลี เจ็บปวด คนอ่านก็เจ็บปวดด้วยเหมือนกัน
สรุป
ดอกไม้สำหรับ อัลเจอนอน ดอกไม้บอกเลยว่ามีความโดดเด่นมากทั้งเนื้อหา กลวิธีการเขียน แม้มองจากมุมของปัจจุบันการผ่าตัดสมองอาจจะไม่ว้าวมากเท่าไรเรื่องเทคโนโลยี แต่มองจากมุมคนแต่งเมื่อปี ค.ศ.1959 หรือ พ.ศ.2502 หรือกว่า 60 ปีที่แล้ว แนวคิดนี้ก็ถือว่าใหม่มากเช่นกัน